เทคนิคการเสริมกำลังใจ
เทคนิคการเสริมกำลังใจ หมายถึง กลวิธีในการใช้วิธีการที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ความกล้าแสดงออก ในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน โดยอาจเป็นการให้รางวัลหรือคำชมเชยหลังจากที่บุคคลประพฤติปฏิบัติหรือมีพฤติกรรมตามที่เราต้องการ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าบุคคลมีความรู้สึกประสบความสำเร็จ เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ ดังนั้นในการสอนผู้สอนควรพยายามสร้างความรู้สึกประสบความสำเร็จให้เกิดขึ้นในตัวของผู้เรียน การทดลองของนักจิตวิทยา บี เอฟ สกินเนอร์ (B.F.Skinner) เกี่ยวกับเรื่องของการเสริมกำลังใจ สรุปเป็นสาระได้ดังนี้
1. การเสริมกำลังใจคือการให้สิ่งเร้า (รางวัล คำชมเชย ฯลฯ) แก่ผู้เรียน หลังจากที่เขาทำพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเสร็จแล้ว จะทำให้เขาอยากจะทำพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก
2. การเสริมกำลังใจทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างรวดเร็ว
3. ถ้าพฤติกรรมอะไรก็ตามถ้าแสดงไปแล้วไม่ได้รับการเสริมกำลังใจ พฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มที่จะไม่เกิดขึ้นอีก
4. การให้การเสริมกำลังใจทุกครั้งที่มีการแสดงพฤติกรรมจะทำให้ผู้เรียนทราบว่าการกระทำหรือพฤติกรรมอันไหนที่ทำให้ได้รับรางวัล (การเสริมกำลังใจ) ได้ดีกว่าการเสริมกำลังใจเป็นบางครั้งบางคราว
5. การลงโทษจะทำให้ผู้เรียนจำได้ว่าพฤติกรรมอย่างไหนที่ไม่ควรทำ ไม่สามารถขจัด พฤติกรรมได้โดยตรง
หลักในการเสริมกำลังใจ
1. ควรเสริมกำลังใจทันทีหลังจากผู้เรียนกระทำพฤติกรรมที่พึงปรารถนา เช่น ดีมาก ดี เก่ง ถูกต้อง ยิ้ม พยักหน้า หรือแสดงความเอาใจใส่ขณะที่นักเรียนพูด ฯลฯ
2. ควรเสริมกำลังใจในจังหวะที่เหมาะสมและมีความเป็นธรรมชาติ
3. ควรใช้วิธีเสริมกำลังใจหลาย ๆ วิธี เช่น ใช้ภาษาและท่าทางเพื่อแสดงการยอมรับการตอบสนองหรือพฤติกรรมของผู้เรียน
4. การเสริมกำลังใจจะต้องไม่พูดจนเกินความจริง
5. ควรเสริมกำลังใจให้ทั่วถึงกับผู้เรียนทุกคน
6. ควรเสริมกำลังใจในทางบวกมากกว่าในทางลบ
7. ควรเสริมกำลังใจด้วยท่าทางที่จริงใจ
8. ไม่ควรใช้การเสริมกำลังใจแบบใดแบบหนึ่งซ้ำ ๆ จนมากเกินไป เพราะจะทำให้เบื่อง่ายและไม่ให้ผลทางจิตวิทยา
9. การเสริมกำลังใจควรพิจารณาให้เหมาะสมกับวัย การเสริมกำลังใจบางชนิดอาจเหมาะกับผู้เรียนบางระดับเท่านั้น
1. ควรเสริมกำลังใจทันทีหลังจากผู้เรียนกระทำพฤติกรรมที่พึงปรารถนา เช่น ดีมาก ดี เก่ง ถูกต้อง ยิ้ม พยักหน้า หรือแสดงความเอาใจใส่ขณะที่นักเรียนพูด ฯลฯ
2. ควรเสริมกำลังใจในจังหวะที่เหมาะสมและมีความเป็นธรรมชาติ
3. ควรใช้วิธีเสริมกำลังใจหลาย ๆ วิธี เช่น ใช้ภาษาและท่าทางเพื่อแสดงการยอมรับการตอบสนองหรือพฤติกรรมของผู้เรียน
4. การเสริมกำลังใจจะต้องไม่พูดจนเกินความจริง
5. ควรเสริมกำลังใจให้ทั่วถึงกับผู้เรียนทุกคน
6. ควรเสริมกำลังใจในทางบวกมากกว่าในทางลบ
7. ควรเสริมกำลังใจด้วยท่าทางที่จริงใจ
8. ไม่ควรใช้การเสริมกำลังใจแบบใดแบบหนึ่งซ้ำ ๆ จนมากเกินไป เพราะจะทำให้เบื่อง่ายและไม่ให้ผลทางจิตวิทยา
9. การเสริมกำลังใจควรพิจารณาให้เหมาะสมกับวัย การเสริมกำลังใจบางชนิดอาจเหมาะกับผู้เรียนบางระดับเท่านั้น
วิธีเสริมกำลังใจ
1. มีการเสริมกำลังใจด้วยวาจา
1.1 มีการชมเชยด้วยการใช้คำพูดต่าง ๆ
1.2 การกล่าวชมคำตอบที่ใกล้เคียงคำตอบที่ถูกหรือยกบางส่วนของคำตอบมากล่าวชม
1.3 การนำคำตอบที่ถูกต้องของผู้เรียนไปสัมพันธ์กับคำถามหรือคำตอบใหม่
2. มีการเสริมกำลังใจด้วยท่าทาง
2.1 แสดงอาการยอมรับผู้เรียนที่ตอบถูกโดยใช้กริยาท่าทางที่แสดงความพอใจเช่น ยิ้ม พยักหน้า ฯลฯ
2.2 แสดงอาการให้กำลังใจแก่ผู้เรียนที่ตอบผิด
3. มีการสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้นในหมู่เพื่อนของผู้เรียนโดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเสริมกำลังใจ เช่น ให้ปรบมือให้เพื่อน ให้ช่วยกันให้คะแนน ฯลฯ
4. มีหลักเกณฑ์ในการเสริมกำลังใจ เช่น ใช้วิธีการได้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่บ่อยจนเกินไป เป็นต้น
5. มีการเสริมกำลังใจอย่างทั่วถึง
1. มีการเสริมกำลังใจด้วยวาจา
1.1 มีการชมเชยด้วยการใช้คำพูดต่าง ๆ
1.2 การกล่าวชมคำตอบที่ใกล้เคียงคำตอบที่ถูกหรือยกบางส่วนของคำตอบมากล่าวชม
1.3 การนำคำตอบที่ถูกต้องของผู้เรียนไปสัมพันธ์กับคำถามหรือคำตอบใหม่
2. มีการเสริมกำลังใจด้วยท่าทาง
2.1 แสดงอาการยอมรับผู้เรียนที่ตอบถูกโดยใช้กริยาท่าทางที่แสดงความพอใจเช่น ยิ้ม พยักหน้า ฯลฯ
2.2 แสดงอาการให้กำลังใจแก่ผู้เรียนที่ตอบผิด
3. มีการสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้นในหมู่เพื่อนของผู้เรียนโดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเสริมกำลังใจ เช่น ให้ปรบมือให้เพื่อน ให้ช่วยกันให้คะแนน ฯลฯ
4. มีหลักเกณฑ์ในการเสริมกำลังใจ เช่น ใช้วิธีการได้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่บ่อยจนเกินไป เป็นต้น
5. มีการเสริมกำลังใจอย่างทั่วถึง
การนำการเสริมกำลังใจมาใช้ในการเรียนการสอน
1. เสริมกำลังใจในจังหวะที่เหมาะสม เช่น เมื่อผู้เรียนตอบถูกก็ชมทันที
2. ไม่พูดเกินความจริง มิฉะนั้นผู้ฟังจะขาดความศรัทธา เช่น เมื่อผู้เรียนตอบถูกทั้งหมดก็อาจชมว่า “เก่งมากๆ” “เก่งจริงๆ” แต่ถ้าผู้เรียนตอบถูกเป็นบางส่วนก็ชมเชยเฉพาะส่วนที่ถูก พร้อมทั้งแนะนำส่วนที่ผิด
3. ใช้วิธีในการเสริมกำลังใจหลายๆ วิธี ไม่ใช่พูดคำที่ซ้ำซาก จำเจกับผู้เรียนทุกคน
4. ไม่ควรเสริมกำลังใจบางประเภทบ่อยเกินไป เช่น การให้รางวัล เพราะจะทำให้ผู้เรียนไม่เห็นคุณค่าของการเสริมกำลังใจนั้น
5. พยายามหาโอกาสเสริมกำลังใจให้ทั่วถึงกัน (ไม่จำเป็นต้องเสริมในชั่วโมงเดียวกัน) โดยใช้วิธีการเสริมกำลังใจต่างกัน และในโอกาสต่างๆ กัน
6. การเสริมกำลังใจควรเป็นไปในทางบวกมากกว่าทางลบ
7. การเสริมกำลังใจไม่ควรมาจากวิทยากรเพียงคนเดียว ควรใช้สิ่งแวดล้อมช่วยด้วย เช่น ให้ผู้เรียนคนอื่นปรบมือ
8. เสริมกำลังใจด้วยท่าทีที่จริงจัง อาจต้องใช้วาจาและท่าทางประกอบด้วย
เอกสารอ้างอิง
ลัดดาวัลย์ พิชญพจน์. (ม.ป.ป.). ทักษะและเทคนิคการสอน. ลพบุรี: สถาบันราชภัฎเทพสตรี.
http://www.oknation.net/blog/Duplex/2008/02/01/entry-17